จากเงินล้านเหลือ 50 สต. บทเรียนผีพนัน บ้านแตก ติดคุก หวิดตายยกครัว!
น.ส.ก้อย (นามสมมติ) อายุ 36 ปี เริ่มต้นเล่าถึงเส้นทางก่อนเข้ามาสู่วงจรการพนันฟุตบอลว่า เราเป็นคนหนึ่งที่เกิดและโตมาท่ามกลางอบายมุข เป็นเด็กเกเร กินเหล้า เที่ยวเตร่กลางคืน ติดยาเสพติด ใช้ชีวิตผิดพลาดจนตั้งท้องตอนอายุ 16 ปี ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนไปมีครอบครัว กระทั่งอายุย่างเข้า 19 ตัดสินใจแยกทางกับสามีและลูก จนต้องออกมาใช้ชีวิตตัวคนเดียว
ต่อมาก็ไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งทำอาชีพเป็นโต๊ะบอล ด้วยความที่เราเองก็ไม่มีงานการทำ ไม่มีวุฒิการศึกษา จะไปสมัครงานที่ไหนก็คงยาก ชีวิตก็ต้องกินต้องใช้ จึงตัดสินใจลองทำโต๊ะบอลกับเพื่อน เพราะไม่ต้องลงทุน เริ่มแรกก็ลองไปเป็นคนเดินโพย คืนแรกได้เงินมาเป็นหลักหมื่นบาท เป็นเงินก้อนครั้งแรกในชีวิต ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นถือว่าเยอะมาก และรู้สึกว่าได้มาง่าย โดยไม่ต้องลงแรงเหนื่อยตากแดดตากฝน จนสุดท้ายเงินก้อนแรกก็หมดไปกับการเที่ยวกลางคืนและยาเสพติด เพราะคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้มาอีก…
หลังจากนั้นเราก็เดินโพยส่งโต๊ะบอลมาเรื่อยๆ จนยึดเป็นอาชีพหลัก ทุกคืนเพื่อนก็จะพาไปทำความรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการโต๊ะบอล ทำให้เริ่มได้ลูกค้ามากขึ้น มีคนรู้จัก มีสังคม และเริ่มมีเครดิต แต่จู่ๆ วันหนึ่งกลับลืมส่งโพยให้โต๊ะบอล เป็นเงินหลักแสนบาท ซึ่งบังเอิญเป็นความโชคดีที่ บอลไม่เข้า นั่นเท่ากับเงินก้อนนั้นกลายเป็นของเราไปโดยปริยาย ในความรู้สึกตอนนั้นคือ “เงินเยอะจังวะ กำไรดีขนาดนี้ หรือเราจะอุ้มรับไว้เอง” โดยแทบไม่ได้นึกถึงเงินที่ต้องเสียเลย…
ผันตัวเองเป็นโต๊ะบอล หวังเงิน หลงระเริง ใช้ชีวิตสวยหรู
น.ส.ก้อย เล่าต่อว่า ด้วยเงินเป็นปัจจัยหลัก จากเด็กเดินโพยที่ได้เพียงค่าน้ำ ก็ตัดสินใจวางตัวเองเป็นเจ้ามือโต๊ะบอล ช่วงปีแรกๆ ดวงดีไม่มีตก มีรายได้คืนละเป็นหลักแสนบาท เพราะลูกค้าเราไม่ได้เล่นคู่ละ 500 หรือหลักพัน แต่ละคู่เล่นไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นถึงหลักแสนบาท ยิ่งช่วงที่คนเล่นเยอะ บางคืนมีรายได้เหยียบล้าน ถือเป็นช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดในการทำอาชีพนี้ จนเริ่มใช้ชีวิตหลงระเริงไปกับทุกสิ่ง ใช้เงินซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม กระเป๋าหลุยส์ นาฬิกา เที่ยวกลางคืน ซื้อยาเสพติด มีเวลาใช้ชีวิตสวยหรูสุขสบายนานนับปี
มีมาก็มีไป! เส้นทางชีวิตเริ่มล้มเป็นโดมิโน เมื่อมีหนี้หลักล้าน
จากสิ่งที่กำลังหลงระเริง ชีวิตมีแต่คำว่า ‘เงิน’ กระทั่งเข้าสู่ช่วงปีที่ 2 เงินเริ่มเข้าและออกมากพอๆ กัน บางคืนเสียมากถึง 5-6 แสนบาท ดวงเริ่มตก ชีวิตก็ล้มเป็นโดมิโน อย่างคืนนั้นรับมา 3 แสน ในช่วงที่ไม่มีเงินทุนเลย เมื่อลูกค้าได้ เราก็ไม่มีเงินให้เขา สุดท้ายก็ต้องหาทางออกโดยการไปเป็นผู้เล่นแทงบอลกับโต๊ะอื่น 3 แสนบาท เพื่อหวังเอาเงินมาจ่ายให้ลูกค้า แต่กลายเป็นว่าเราเสีย แถมได้หนี้สินเพิ่มมาอีก 3 แสนบาท จนเริ่มมีหนี้สินทบไปเรื่อยๆ จากหลายโต๊ะ เป็นหลักล้านบาท เมื่อไม่มีเงินชดใช้ จึงตัดสินใจเอาของรัก ทั้งกระเป๋า นาฬิกา รวมถึงสิ่งของเครื่องใช้ไปขาย เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ แต่สุดท้ายก็ใช้ไม่หมด
“ช่วงนั้นยอมรับว่าเครียดมาก เพราะเราเริ่มทำวงการนี้ไม่ได้แล้ว ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีเครดิต จนวันที่นั่งเล่นยาเสพติดก็คิดชั่ววูบขึ้นมาว่า จะไปค้ายาเสพติด แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เพื่อนรักโดนจับ ข้อหาค้ายาเสพติด มีโทษจำคุก 13 ปี เราก็ไปเยี่ยมเพื่อนในเรือนจำทุกสัปดาห์ จนวันหนึ่งทราบข่าวจากเรือนจำว่า เพื่อนที่เรารักที่สุด เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด ชีวิตตอนนั้นทั้งมืดมน หมดหนทาง ผิดหวัง และเสียใจมากที่สุด…”
หนี้สินล้นมือ เจ้าหนี้ตามเช็กบิล ครอบครัวติดร่างแหซวยไปด้วย
มาถึงจุดนี้ ผู้สื่อข่าวถามเธอว่า สุดท้าย…เราหาทางออกให้กับชีวิตอย่างไร และปัญหาหนี้สินหลักล้านที่อยู่ตรงหน้า เธอชดใช้มันมาด้วยวิธีใด? เธอเล่าว่า “เมื่อชีวิตดูเหมือนจะถึงทางตัน แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป จึงตัดสินใจแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการให้ช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าหนี้ให้ ซึ่งแม้ว่าจะมีแบ็กคุ้มกะลาหัว แต่สุดท้ายก็ยังมีเจ้าหนี้รายอื่นๆ ที่ยังคงตามทวงหนี้โดยใช้วิธีข่มขู่สารพัด ทั้งขับรถตาม ขับมอเตอร์ไซค์มาเบิ้ลเครื่องใส่เพื่อกดดันให้เรากลัว ช่วงนั้นต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แทบไม่กล้าออกไปไหน แต่แล้ววันหนึ่ง รับสายจากพี่ชายว่า “มีคนมาล็อกบ้าน ทุกคนติดอยู่ข้างใน เด็กๆ หลานๆ ก็ไปโรงเรียนไม่ได้” ด้วยความที่เราเป็นลูกไม่รักดี ออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจใคร ไม่เคยโทษตัวเอง ก็ตอบกลับไปว่า “จะโวยวายอะไรกันนัก ก็แค่โดนล็อกบ้าน ไม่ได้มีใครตายซะหน่อย!!!” จนสิ่งที่พี่ชายตอบกลับมานั้น ทำให้เรารู้สึกจุกขึ้นมาว่า “ถ้าไฟไหม้บ้านตอนนี้ หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ตายทั้งครอบครัวเหรอ…!?” เราน้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ได้แต่ถามตัวเองว่า นี่เราทำทุกคนเดือดร้อนมานานแค่ไหนแล้ว!…”
จนวันหนึ่ง ‘พ่อ’ ซึ่งไม่เคยพูดกับเรามาเป็นเวลานาน กลับพูดขึ้นมาว่า “พ่อขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม เลิกพนัน เลิกยาเสพติด แล้วกลับไปเรียนหนังสือ ทำให้พ่อสักครั้งได้ไหม…” ตอนนั้นเราอายุย่างเข้า 25 ก็รู้สึกว่า พ่อไม่เคยขอ ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเรา แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงมาพูดแบบนี้ และด้วยความที่ไม่เคยโทษตัวเองเช่นเคย ก็พูดตอกกลับไปว่า “ที่ชีวิตหนูพัง เป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อ พ่อเสพยามาตั้งแต่หนูยังเด็ก ก็ไม่เห็นพ่อจะเลิก” ตอนนั้นคิดว่าพ่อจะต้องด่าเหมือนเมื่อก่อน แต่วันนี้สิ่งที่ท่านตอบกลับมาคือ “พ่อจะเลิกเพื่อหนู” สุดท้ายท่านก็ค่อยๆ เลิกจริงๆ ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า แล้วเราเคยทำอะไรเพื่อท่านบ้างหรือยัง…!?